ความคืบหน้าจากกรณีนายประจักรษ์ เหิมขุนทด อายุ 41 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.20 ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ถูกทำร้ายเสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดที่หน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีภาพวงจรปิดจับภาพได้
โดยนางโชรัชฎา แสงจันทร์ อายุ 42 ปี ภรรยาของนายประจักรษ์ บอกว่า สามีทำงานเป็นหัวหน้า รปภ. ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนนายปราโมท ลิลิลัย อายุ 38 ปี ก็เป็น รปภ. ของบริษัทเดียวกัน ในวันเกิดเหตุ (5 ก.ค.) เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะที่อยู่ภายในห้องพักนั้น นายปราโมทโทรศัพท์มาหาสามีว่าอยากคุยกับหัวหน้า จากนั้นนายปราโมทเดินทางเข้ามา แต่อ้างว่ารถเสียที่หน้าปากซอย ขอให้สามีตนออกไปรับ แต่สามีปฏิเสธ จากนั้นไม่กี่นาทีนายปราโมทก็เดินทางมาถึงหน้าห้อง แล้วบอกให้สามีออกไปหา จากนั้นสามีตนจึงเดินออกไปพูดคุยด้วย
โดยนายปราโมทเข้ามาพูดคุยกับสามีตนเรื่องที่ตัวเองถูกพักงานและตัดเงินเดือน ว่าสามีของตนมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้ถูกพักงานหรือไม่ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ท่าทางโมโหรุนแรง และมีอาการเมา สามีตนปฏิเสธไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากการพักงานขึ้นอยู่กับผู้ตรวจงานที่จะมาดูพฤติกรรมของพนักงาน ซึ่งนายปราโมทมักดื่มสุราและมีอาการเมาขณะทำงาน จึงถูกลงโทษให้พักงานและหักเงินเดือน
จากนั้นเมื่อคุยกันเสร็จ สามีตนจึงไล่นายปราโมทให้กลับไป แต่นายปราโมทออกอุบายให้เดินไปส่งพร้อมขอเงิน 100 บาทไปซื้อเหล้า แต่สามีไม่ให้ ระหว่างกำลังเดินออกไป ตนก็ได้ยินเสียงนายปราโมทพูดว่า "มึงเก่งนักหรือ มึงจะเอากับกูหรือ" แล้วได้ยินเสียงคนตะโกนว่า "คนถูกทำร้าย" ตนจึงรีบวิ่งออกมาดู พบว่าสามีถูกกำปั้นชกใบหน้า กระทืบซ้ำหลายครั้ง จนนอนแน่นิ่งเสียชีวิตคาที่ โดยไม่พบว่ามีการใช้อาวุธ แต่เป็นการทำร้ายตอนเผลอ ตอนนี้ครอบครัวก็ลำบาก เพราะสามีเป็นเสาหลักครอบครัว ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ และลูกอีก 4 คน
ล่าสุด พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.สภ.หนองปรือ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเข้าจับกุมนายปราโมท ได้ที่ห้องเช่าริมทางรถไฟหลังวัดธรรมสามัคคี พัทยาใต้ ซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาสุรา ก่อนควบคุมมาสอบสวน
จากการสอบสวนนายปราโมท อ้างว่าในขณะนั่งกินเหล้า ผู้ตายมาพูดจาว่ากล่าวจนเกิดโมโห จึงชกผู้ตายไปหนึ่งที ผู้ตายล้มจึงตามไปแตะซ้ำก่อนหลบหนีกลับไปนอนที่ห้องพัก และไม่ทราบว่าเสียชีวิต มาทราบก็เมื่อถูกตำรวจมาจับกุม หลังจากสอบสวนเสร็จจึงส่งพนักงานสอบสวนสอบปากคำแล้วส่งดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
คลิปข่าว
ขอบคุณ amarintv
No comments:
Post a Comment