กองทัพบ ก แจ งงบจัดซื้ อรถ ยานเกราะ เหตุผ ลที่ยกเลิกไม่ได้
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงข่าวกรณี ถึงกรณีมีการเผยแพร่เอกสารของกรมสรรพวุธการเดินหน้าโครงการจัดซื้อรถยานเกราะสไตรเกอร์ ติดอาวุธ 50 คัน วงเงินงบประมาณ 4.5 พันล้าน ว่า การจัดซื้อดังกล่าวเป็นโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร Foreign Military Sales -FMS จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความช่วยเหลือที่เข้าสภาคองเกรสของสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ โดยเป็นโครงการผูกพันงบประมาณปี 2563-2565 ในปี 2563 เดิมตั้งวงเงินในการจัดซื้อ 900 ล้านบาท
แต่ขณะนี้ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 450 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมชี้แจงด้วยว่า จัดซื้อรถเกราะสไตรเกอร์ ในวงเงินรวม 4,500 ล้านบาท ไม่ใช่เพียง 50 คันตามที่มีการเผยแพร่ออกไป เพราะทางสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม และให้เปล่าอีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วไทยจะได้รับกว่า 100 คัน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลืออื่น เช่น รถติดปืนขนาด 120 มม. รถพยาบาล, รถผู้บังคับบัญชา, และโครงการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงต่างๆ
ขณะเดียวกัน พ.อ.วินธัย ยังเปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาปรับลดงบประมาณเพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงการแก้ปัญหาโควิด รวมทั้งสิน 18,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับกระทรวงอื่นๆ และในจำนวนนี้เป็นงบของกองทัพบกหน่วยเดียวเกือบหมื่นล้านบาท โดยในการพิจารณาของ ทบ.ได้เลื่อนดำเนินโครงการที่ไม่ผูกพันทั้งหมด 26 โครงการ ออกไปก่อน ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นงบผูกพัน จำนวน 4 โครงการ ถูกปรับลดงบปี 2563 ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อรถรถเกราะสไตรเกอร์ ทั้งยังชี้แจงว่า เอกสารของกรมสรรพาวุธทหารบกที่มีการเผยแพร่ออกไปนั้น เป็นการพูดถึงยอดเงินทั้งโครงการ และยอมรับว่าทีมโฆษก ทบ.บกพร่องที่ไม่มีการออกมาชี้แจงถึงกรณีนี้ เนื่องจากรายละเอียดมีเยอะ และต้องใช้เวลา พร้อมนำไปปรับปรุงต่อไป
ด้าน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ระบุว่า การปรับลดงบประมาณอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนากำลังพลของกองทัพบก แต่ยินดีที่จะปรับลดงบประมาณ และบริหารจัดกานงบที่มีอยู่ให้เต็มกำลังความสามารถ ขอให้เชื่อมั่นส่ากองทัพบก ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมมองว่าข้อมูลในโซเชียลปัจจุบันมีความเปราะบาง เนื้อหาไม่ครบถ้วน ไม่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในสถานการที่ประชาชนมีความเดือดร้อน อ่อนไหว
อีกทั้งยังมีการแสงดความเห็นต่อว่าผู้บริหารระดับสูง จึงขอให้เบาๆลง เพราะกองทัพบกไม่อยากดำเนินการทางกฎหมาย โดยเฉพาะบางเพจ ที่นำข้อมูลไม่เป็นความจริงไปเผยแพร่ และสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อกองทัพโดยเฉพาะการกล่าวเรื่องตัวเลข
ที่มา one31
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงข่าวกรณี ถึงกรณีมีการเผยแพร่เอกสารของกรมสรรพวุธการเดินหน้าโครงการจัดซื้อรถยานเกราะสไตรเกอร์ ติดอาวุธ 50 คัน วงเงินงบประมาณ 4.5 พันล้าน ว่า การจัดซื้อดังกล่าวเป็นโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร Foreign Military Sales -FMS จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความช่วยเหลือที่เข้าสภาคองเกรสของสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ โดยเป็นโครงการผูกพันงบประมาณปี 2563-2565 ในปี 2563 เดิมตั้งวงเงินในการจัดซื้อ 900 ล้านบาท
แต่ขณะนี้ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 450 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมชี้แจงด้วยว่า จัดซื้อรถเกราะสไตรเกอร์ ในวงเงินรวม 4,500 ล้านบาท ไม่ใช่เพียง 50 คันตามที่มีการเผยแพร่ออกไป เพราะทางสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม และให้เปล่าอีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วไทยจะได้รับกว่า 100 คัน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลืออื่น เช่น รถติดปืนขนาด 120 มม. รถพยาบาล, รถผู้บังคับบัญชา, และโครงการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงต่างๆ
ขณะเดียวกัน พ.อ.วินธัย ยังเปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาปรับลดงบประมาณเพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงการแก้ปัญหาโควิด รวมทั้งสิน 18,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับกระทรวงอื่นๆ และในจำนวนนี้เป็นงบของกองทัพบกหน่วยเดียวเกือบหมื่นล้านบาท โดยในการพิจารณาของ ทบ.ได้เลื่อนดำเนินโครงการที่ไม่ผูกพันทั้งหมด 26 โครงการ ออกไปก่อน ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นงบผูกพัน จำนวน 4 โครงการ ถูกปรับลดงบปี 2563 ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อรถรถเกราะสไตรเกอร์ ทั้งยังชี้แจงว่า เอกสารของกรมสรรพาวุธทหารบกที่มีการเผยแพร่ออกไปนั้น เป็นการพูดถึงยอดเงินทั้งโครงการ และยอมรับว่าทีมโฆษก ทบ.บกพร่องที่ไม่มีการออกมาชี้แจงถึงกรณีนี้ เนื่องจากรายละเอียดมีเยอะ และต้องใช้เวลา พร้อมนำไปปรับปรุงต่อไป
ด้าน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ระบุว่า การปรับลดงบประมาณอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนากำลังพลของกองทัพบก แต่ยินดีที่จะปรับลดงบประมาณ และบริหารจัดกานงบที่มีอยู่ให้เต็มกำลังความสามารถ ขอให้เชื่อมั่นส่ากองทัพบก ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมมองว่าข้อมูลในโซเชียลปัจจุบันมีความเปราะบาง เนื้อหาไม่ครบถ้วน ไม่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในสถานการที่ประชาชนมีความเดือดร้อน อ่อนไหว
อีกทั้งยังมีการแสงดความเห็นต่อว่าผู้บริหารระดับสูง จึงขอให้เบาๆลง เพราะกองทัพบกไม่อยากดำเนินการทางกฎหมาย โดยเฉพาะบางเพจ ที่นำข้อมูลไม่เป็นความจริงไปเผยแพร่ และสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อกองทัพโดยเฉพาะการกล่าวเรื่องตัวเลข
ที่มา one31
No comments:
Post a Comment