วันที่ 11 กันยายน 2563 ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับนายม็อค (นามสมมติ) พยานของลุงพล หรือนายไชยพล ลุงของน้องชมพู่ ซึ่งตำรวจชุดสืบสวนได้พานายม็อคไปชี้จุด ย้อนเส้นทางการเดินทางลุงพลไปส่งพระที่วัดภูกะโล้น จ.มุกดาหาร ซึ่งหลังจากออกจากวัด ได้มีการจอดแวะชื้อของ 2 ตลาด คือ ตลาดหนองสูง เพื่อชื้อเงาะ และตลาดบัวขาว ซื้อปลาเผา ผัก ขนมโตเกียว ลูกตาล ก่อนเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อช่วยคนหาน้องชมพู่
โดยตำรวจขอให้นายม็อค พาไปชี้จุดแบบละเอียด เพื่อเทียบกับคำให้การของลุงพล โดยเอาบันทึกคำให้การที่พิมพ์ไว้ในกระดาษเอ 4 สีขาว มาเป็นตัวเทียบกับการชี้จุด ตามคำให้การของลุงพล และได้มีการเทียบเวลาในการแวะซื้อของ รวมถึงเก็บข้อมูลกับบุคคลที่ลุงพลแวะทักทาย
นายม็อค บอกว่า ตำรวจพาตนไปชี้จุด และลงจากรถไปพูดคุยกับบุคคลที่ได้มีโอกาสเจอกับลุงพล หลังจากกลับมาจากวัดส่งพระ แวะจุดสำคัญต่าง ๆ เช่น ตลาดหนองสูง ซึ่งมีการซื้อเงาะ ในตอนนั้น รถกระบะลุงพลจอดอยู่ข้างทาง คนในรถลงมาจากรถทุกคน แต่ลุงพลเดินข้ามถนน ไปฝั่งตลาดเพื่อซื้อเงาะ จำนวน 6 กิโลกรัม 2 ถุงใหญ่ 200 บาท ซึ่งลุงพลบอกจะข้ามไปซื้อเอง ทุกคนจึงรออยู่ที่รถ
หลังจากกลับมาขึ้นรถก็ออกเดินทางต่อ ไปที่ตลาดบัวขาว ในตอนนั้นเมฆฝนตั้งเค้า ฝนใกล้จะตก ลุงพลให้ผู้หญิงรอในรถ จึงมีตนกับลุงพลลงไป 2 คน ไปซื้อของในตลาดบัวขาว โดยมีการชื้อของในตลาด อาทิ ปลานิลเผา ผักสด ขนมโตเกียว และลูกตาล ซึ่งใช้เวลารอแม่ค้าปลอกลูกตาลนานพอสมควร รวมเวลาจ่ายตลาด 30-35 นาที ก็รีบขึ้นรถ เพราะตอนนั้นฝนลงเม็ดแล้ว จึงไม่ได้มีการจอดแวะชื้อของอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงที่หมู่บ้าน ก็นำของที่ซื้อมาแขวนไว้ที่หน้าบ้านตนเอง รถกระบะลุงพลจอดอยู่หน้าบ้านตรงเสาไฟฟ้า ลุงพลเดินตรงเข้าไปในซอยบ้านน้องชมพู่ เพื่อไปถามความคืบหน้าที่หลานหายตัวไป
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
ทีมข่าวได้เดินทางไปที่ตลาดบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลุงพล หลังไปส่งพระที่วัดภูกะโล้น ตามคำให้การของลุงพล และจุดที่ตำรวจชุดสืบสวนพานายม็อคมาชี้จุดแวะชื้อของในตลาด ก่อนเดินทางกลับกกกอก
ทีมข่าวเดินทางไปเข้าสำรวจและพูดคุยกับแม่ค้าในตลาด เพื่อสอบถามร้านที่ลุงพลกับนายม็อค แวะชื้อของก่อนกลับหมู่บ้านเพื่อช่วยค้นหาชมพู่ โดยพบว่าวันนี้ร้านปลาทูมีอยู่จริง แต่ลูกสาวมาขายแทน ไม่เจอแม่ค้าที่เป็นเจ้าของร้าน
ส่วนร้านขายผักพบว่ามี 6 ร้าน จากการสอบถามอ้างไม่มีตำรวจหรือเห็นลุงพลมาชื้อ ร้านขนมโตเกียวปิดร้านไปแล้ว เพราะเศษฐกิจไม่ดี ร้านลูกตาลวันนี้ไม่มาขาย ส่วนร้านปลาเผาพบว่ามีอยู่จริง เปิดขายอยู่หน้าตลาด
น.ส.สุจิตรา ว่องไว หรือ จอย อายุ 31 ปี แม่ค้าขายปลาเผา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีตำรวจแวะมาถามข้อมูลลุงพลที่แวะมาชื้อปลาเผาว่า เคยมาซื้อหรือไม่ ตนก็นึกไม่ออกว่าคนดังคือใคร จึงได้แต่ตอบว่าไม่ทราบ จำไม่ได้ จนกระทั่ง 3-4 วันก่อน ที่ตำรวจพานายม็อคมาที่ตลาด แต่ตนก็ไม่รู้จักอีกว่าชายคนดังกล่าวเป็นใคร ซึ่งชี้จุดว่ามีการมาชื้อปลาเผาที่ร้านตน จากนั้นตำรวจได้มายืนคุย พร้อมกับมีการบันทึกการสอบปากคำ แต่ไม่ได้มีการเซ็นเอกสารใด ๆ พร้อมขอเบอร์โทรศัพท์ บอกจะโทรมาถามข้อมูลเพิ่ม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อมา
ทั้งนี้แม้ว่าตำรวจจะมาถามกี่ครั้ง หรือแม้แต่ทีมข่าวมาถาม ตนก็ตอบไม่ได้ว่า เจอลุงพลหรือไม่ เพราะช่วงนั้นลูกค้าเยอะ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ที่สำคัญลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาชื้อของ อาจมีการสวมใส่หน้ากากอนามัย จึงยากที่จะแยกลูกค้าได้ เว้นแต่ว่าถ้าลุงพล ป้าแต๋น ย้อนมาตลาดช่วงนี้ ก็อาจจำได้แม่น เนื่องจากลุงป้าดังแล้ว มีคนรู้จักแล้ว
ประกอบกับตำรวจได้ถามถึงร้านอื่น ๆ ที่อ้างว่า ลุงพลได้แวะซื้อของ อาทิ ร้านลูกตาล ร้านขนมโตเกียว 2 ร้านไม่ได้มาขายพักใหญ่แล้ว จึงไม่รู้ว่ามีการชื้อขาย หรือจะจำลุงพลในวันที่ 11 พ.ค.63 ได้หรือไม่ จากนั้นตำรวจก็ได้เดินเก็บข้อมูลทั่วตลาด พร้อมทั้งพานายม็อคไปชี้จุดร้านอื่น ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอย่างไร
จากนั้นทีมข่าวมีโอกาสคุยกับนางนลิน เงินนาม หรือป้าถอน พยานของลุงพล เปิดเผยว่า กรณีที่มีโทรศัพท์ โทรเข้ามาถามวันที่ 11 พ.ค.63 ตอนไปส่งพระ พูดทำนองว่า “เอาน้องชมพู่ขึ้นรถไปด้วยหรือไม่” ตนได้รับสายดังกล่าวจริง โดยเป็นเบอร์ของนายเสริม แต่มีนางสาวิตรี แม่น้องชมพู่เป็นคนถาม ซึ่งพูดว่า “เอาชมพู่ติดรถไปด้วยไหม หากันไม่เจอ” ตนและคนในรถก็ตอบว่า “ไม่ได้เอาไป ไปส่งพระจะเอาไปได้อย่างไร”
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
ดังนั้นจึงยืนยันว่า ในวันที่ไปส่งพระ ไม่ได้มีน้องชมพู่อยู่ในรถ เพราะตอนที่ออกจากหมู่บ้าน ก็ไม่เห็นน้องชมพู่วิ่งออกมาขึ้นรถ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะขึ้นรถไปพร้อมกับกลุ่มของตน
ส่วนกรณีที่มีการรวมเงิน เพื่อเป็นรางวัลนำจับสำหรับเบาะแสคนร้าย ที่ล่าสุดรวมเงินได้กว่า 300,000 บาทแล้วนั้น ป้าถอน บอกว่า จำนวนเงินดังกล่าว สามารถที่จะทำให้คดีมีความคืบหน้าได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนกล้าไหม ถ้าเป็นไปได้คนที่รู้เรื่องนี้หรือรู้เบาะแส ก็ให้ไปบอกกับตำรวจ อย่างน้อยก็สามารถปิดคดีได้เร็วขึ้น และทำให้คดีน้องชมพู่ได้รับความเป็นธรรม
ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว
No comments:
Post a Comment