วันนี้ 20 ก.ค.64 รายงานงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้มีการขยายขอบเขตการบรรเทาผลกระทบและการปรับปรุงรายละเอียดของมติ ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2564 เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์ CV-19 (ศบค.)
ได้ประกาศยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดงเข้ม) ในพื้นที่ 10 จังหวัดเป็น 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานครนครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร โดยพื้นที่ที่เพิ่มมา 3 จังหวัดล่าสุดตามประกาศ ศบค.ฉบับที่ 27 ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ 3 จังหวัดที่เพิ่มเติมยังคงครอบคลุมแรงงานในระบบประกันสังคมและนอกระบบประกันสังคมใน 9 กลุ่มอาชีพ เป็นระยะเวลา 1 เดือน ที่ได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ ได้แก่
- ก่อสร้าง
- ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
- ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ
- กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
- ขายส่งและการขายปลีก ซ่อมยานยนต์
- ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
- กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุนกิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ
- ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
การให้ความช่วยเหลือแรงงงานในระบบประกันสังคมแบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1.กลุ่มแรงงานตามม. 33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายเงินเยียวย าให้ 50% ของรายได้ (สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท) และจ่ายสมทบให้ลูกจ้างสัญชาติไทยอีก 2,500 บาทต่อคน รวมแล้วได้สูงสุดไม่เกิน10,000 บาท
2.ผู้ประกอบการหรือนายจ้างตามหลักการให้ความช่วยเหลือ จะได้รับความช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน จำนวน 1 เดือน
3.ผู้ประกันตนตามมาตรา 39และมาตรา40 สัญชาติไทยที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000บาท จำนวน 1 เดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนมาตรา33มาตรา 39และมาตรา 40สัญชาติไทยที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน ให้เตรียมหลักฐานเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 กับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,00 บาท จำนวน 1 เดือน
กลุ่มผู้ประกอบการหรือนายจ้างตามหลักการให้ความช่วยเหลือที่มีลูกจ้างแต่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมให้ดำเนินการ ดังนี้ 1.กรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างให้ขึ้นทะเบียนนายจ้างในระบบประกันสังคม พร้อมทั้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนม. 33 ในระบบประกันสังคมกับสำนักงานประกันสังคม
ภายในเดือนก.ค.2564 เพื่อให้สามารถได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน และลูกจ้างที่เป็นสัญชาติไทยจะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 2,500 บาทต่อคน จำนวน 1 เดือน
สำหรับกรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้างแต่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคม ให้เตรียมหลักฐานสำหรับการลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในระบบประกันสังคมกับสำนักงานประกันสังคม ภายในเดือน ก.ค.2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
และในกรณีที่เป็นผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ในปัจจุบันที่ผ่านการตรวจสอบคัดกรองแล้ว และไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จะขยายการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน
จากเดิมที่กำหนดให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็น 5 กลุ่ม รวมถึงร้าน OTOP ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าบริการ และกิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่) โดยให้ผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมเนื่องจากไม่มีลูกจ้าง ให้ดำเนินการลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000บาท จำนวน 1 เดือน
สำหรับผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน ที่มีลูกจ้างแต่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนนายจ้างในระบบประกันสังคม พร้อมทั้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ภายในเดือน ก.ค. 2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือตามหลักการเดียวกันกับแรงงาน และนายจ้างที่เพิ่งลงทะเบียนเข้าสู่ระบบประกันสังคม
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์เยียวย าในครั้งนี้ อย่าลืมเช็กสิทธิ์กันนะคะ
No comments:
Post a Comment