อลังการงานสร้าง ถนนลอดใต้ทะเล หนึ่งเดียวในโลก พอรู้ที่มาที่ไป แทบอยากกราบคนสร้าง ไม่เห็นกับตาใครจะเชื่อ - Yakdung Khaw

สดๆร้อนๆ

Sunday, April 7, 2019

อลังการงานสร้าง ถนนลอดใต้ทะเล หนึ่งเดียวในโลก พอรู้ที่มาที่ไป แทบอยากกราบคนสร้าง ไม่เห็นกับตาใครจะเชื่อ



รู้ถึงไหนอึ้งถึงนั่น กับสุดยอดสถาปัตยกรรมแหกกฎธรรมชาติที่มีหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น มันคืออุโมงค์สำหรับรถวิ่งแต่ที่ทำเอาตาค้างกันทั้งโลกเพราะมันคืออุโมงค์ลอดใต้ทะเลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้จริงบนโลก แทบก้มกราบคนสร้าง !!!



สะพานแห่งนี้มีชื่อว่าสะพานโอเรซุนด์ (Øresund Bridge) ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบโอเรซุนด์ เชื่อมต่อกรุงโคเปญเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก กับเมืองมาลโม ประเทศสวีเดนเข้าด้วยกัน เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1991 ก่อนจะสร้างเสร็จในปี 2000



ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 2.6 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทโดยแบ่งออกกันคนละครึ่งระหว่างสวีเดนและเดนมาร์ก โดยสะพานแห่งนี้มีความยาว 7.8 กิโลเมตร มีความสูง 60 เมตรเหนือน้ำทะเล

บวกกับส่วนที่เป็นเกาะกลางทะเลอีก 4 กิโลเมตร และส่วนที่เป็นอุโมงค์อีก 4 กิโลเมตร รวมเป็นความยาวกว่า 16 กิโลเมตร นอกจากถนนสี่เลนสำหรับให้รถวิ่งแล้ว บนสะพานดังกล่าวยังมีช่องทางเดินรถไฟอีก 2 ช่องทาง



เพื่อใช้ในการขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ไม่มีรถส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่ทำไมสะพานแห่งนี้ต้องมีส่วนที่เป็นทั้งสะพานและอุโมงค์ด้วยเป็นเพราะฝั่งประเทศเดนมาร์กมีสนามบินโคเปญเฮเกนตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่ง หากทำเป็นสะพานแขวน

ชมภาพ



เสาของสะพานซึ่งมีความสูงเกือบ 200 เมตร อาจรบกวนการนำเครื่องขึ้นและลงจนกลายเป็นอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าเปลี่ยนไปทำเป็นสะพานแบบต่ำ ตัวสะพานก็จะขัดขวางเส้นทางเดินเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่อีก



ซึ่งทุกวันมีเรือนับร้อยลำแล่นผ่านบริเวณดังกล่าว ทำให้พวกเขาตัดสินใจทำอุโมงค์ลอดใต้ทะเลแทน แต่ที่เป็นที่สงสัยของคนทั้งโลกคือพวกเขาทำอุโมงค์ลอดใต้ทะเลได้ยังไง ?? ในเมื่อแถวนั้นเป็นเพียงทะเลไม่มีเกาะให้ขุดเจาะ



คำตอบคือพวกเขาได้สร้างเกาะขึ้นมาใหม่คือเกาะพีเบอร์โฮล์มและด้วยความทุ่มทุนสร้างจนอลังการล้านแปดขนาดนี้ ทำให้สะพานโอเรซุนด์ได้รับรางวัลสิ่งปลูกสร้างยอดเยี่ยมจากงาน IABSE Outstanding Structure Award ประจำปี 2002

และแน่นอนว่าเส้นทางยกระดับแบบนี้ก็ต้องมีค่าผ่านทางอย่างแน่นอน หากคุณต้องการขับรถข้ามผ่านเส้นทางนี้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,800 บาท ถ้าใครสนใจอยากมีประสบการณ์ใหม่น่าตื่นตาตื่นใจก็ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง

No comments:

Post a Comment