จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกันหน้าตลาดศรีอรุณพลาซ่า ถ.เชียงใหม่-แม่ออน ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ พบผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ เป็นเยาวชน อายุ 13 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ข้อเท้า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 6 ก.ค. 62 ชนกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า มีผู้สูงอายุ 2 คน อายุ 60 และ 62 ปี ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรฝั่งตรงข้ามตลาด และไถลไปชนกับรถกระบะฝั่งตรงข้าม
นางศุภลักษณ์ สุยะนนท์ หรือ ลัก อายุ 60 ปี คนขับมอเตอร์ไชค์ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ตนเองบาดเจ็บบริเวณซี่โครงขวา เวลาขยับตัวและหายใจ ก็เจ็บบ้างที่บริเวณไหล่ขวา มีรอยช้ำ
หลังจากเกิดเหตุยังไม่ได้เจอคู่กรณี ยังไม่ได้รับการติดต่อ ตำรวจเจ้าของคดีจะนัดเจอกันในวันพุธที่ 10 ก.ค. ซึ่งตนเองยินดีที่จะรับคำขอโทษ และยอมให้อภัยน้องคนที่ขับบิ๊กไบก์ ไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง แต่ตัวเองอยากจะให้เด็กมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ก่อนจะขับรถ
ทั้งนี้ วันดังกล่าวตนเองตั้งใจขับรถกลับบ้าน ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่เคยใช้มาแล้วกว่า 5-6 ปี แต่ก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ ยืนยันว่าตนเองได้ขับรถไปหยุดอยู่ที่เกาะกลางเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมีรถบิ๊กไบก์ของเด็ก 13 ปี ขับมาด้วยความเร็ว จนกระทั่งพุ่งชนอย่างแรง ที่ตัวเองตัดสินใจขับไปจอดบริเวณเกาะกลาง เพราะว่าเห็นบิ๊กไบก์ขับมาระยะไกล ตั้งใจว่าจะให้ขับผ่านไปก่อน จากนั้นจึงจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าจะมาพุ่งชนตัวเองจนกระเด็นออกจากรถ
นางจันทร์สม แก้วฟั้น หรือ ลัก คนซ้อนท้าย ผู้บาดเจ็บ อายุ 62 ปี เปิดเผยว่า วันดังกล่าว รถตนอยู่กลางถนน เกาะกลางชั่วคราว จังหวะนั้นมีรถบิ๊กไบก์ขับมาด้วยความเร็วและเสียงดัง พุ่งมาชนด้านหน้า ทำให้ตนเองและรุ่นน้องที่ขับรถกระเด็นหลุดออกจากรถ โชคดีที่รถชนแค่บริเวณล้อหน้า หากชนกลางลำเชื่อว่าตนเองคงไม่รอด ไม่เช่นนั้นก็ขาหัก และบาดเจ็บสาหัส
ส่วนที่เด็กอายุ 13 ปี ขับรถด้วยความเร็ว ก็ไม่เหมาะสม เพราะลูกหลานของตนเองอายุเท่านี้ ด็ยังไม่ขับรถ หรือทำตัวแบบนี้ แต่หากมีการเข้ามาเยียวยา ดูแลรักษาค่าพยาบาล จ่ายชดเชยในวันที่ตนเองทำงานไม่ได้ ก็พร้อมที่จะยกโทษให้ และจะไม่มีการเรียกร้องมากไปกว่านี้ เพราะตนก็เป็นคนดีที่ใจบุญ ไม่ใจร้าย
และอยากจะฝากไปถึงน้องคนขับบิ๊กไบก์ว่า อย่าขับรถเร็ว ให้รักพ่อแม่ด้วย ตนเองไม่ได้โกรธ และไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดใคร
ด้านนายสุวิทย์ เทพาขันธ์ หรือ วิช อายุ 54 ปี พ่อของเด็ก 13 ขับบิ๊กไบก์ เปิดใจว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ ลูกชายเป็นคนที่ชื่นชอบการขี่รถมอเตอร์ไซค์ ตนเคยห้าม แต่ลูกชายไม่ฟัง ฝึกขับรถตั้งแต่เด็ก จึงเปลี่ยนจากการห้ามมาเป็นแนะนำเทคนิคในการขับขี่ที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย จนกระทั่งเริ่มโตขึ้นมา เปลี่ยนจากรถมอไซค์เป็นรถเกียร์ออโต้ จากนั้นก็เริ่มเข้ากลุ่มคนขับรถเป็นบิ๊กไบก์ จากนั้น ตนก็จ้างครูมาสอน ลูกชายสามารถพิสูจน์และขับรถบิ๊กไบก์ได้จริง ครูบอกว่าลูกชายมีไหวพริบ สามารถฝึกฝนไปจนสู่การลงสนามแข่งขันได้ การันตีด้วยการได้รับรางวัล ตนเองจึงส่งเสริมสู่การแข่งขัน ซึ่งลูกชายมี "มาร์ค มาเควส" นักแข่งรถระดับโลกเป็นต้นแบบ ซึ่งฝึกฝนการขับขี่ตั้งแต่ 4 ขวบ
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากตัวของลูกชาย 100% แต่เกิดจากการขับรถปาดหน้า บริเวณเส้นทางดังกล่าวมีรถวิ่งข้ามเลนเพื่อจะไปอีกฝั่งหนึ่ง ทั้งที่ไม่ใช่เลนสำหรับจุดกลับรถ ส่วนคนในโซเชียลหากจะมีการแสดงความคิดเห็นหรือด่าทอ ตนเองก็ไม่ขัดข้อง แต่ขอให้ด่าน้อยลงกว่านี้ ทั้งนี้ ลูกชายค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญ แม้ว่าจะเป็นเด็ก และการขับขี่บิ๊กไบก์ก็เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ขับขี่ไปในเส้นทางต่าง ๆ ทั้งในสนามและนอกสนามได้คล่องแคล่ว
อีกทั้ง หากเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ว่าฝ่ายของตัวเองเป็นคนผิด ก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งนี้ หากมีการพิสูจน์แล้ว มีการตัดหน้าลูกชายทำให้เกิดอุบัติเหตุ ตนเองก็พร้อมที่จะพูดคุย และทราบต้นสายปลายเหตุ เชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้สามารถยอมความกันได้ ซึ่งลูกชายตนบอกว่าไม่ผิด เพราะมีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาตัดหน้า
หลังจากนี้ ลูกชายจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปเป็นบทเรียน พร้อมทั้งได้สั่งให้ขายรถทิ้งให้หมด ส่วนตัวเชื่อว่าเพราะลูกชายเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีความคิดดังกล่าว แต่หลังจากนี้ หากลูกชายจะกลับไปขับรถบิ๊กไบก์เหมือนเดิม ตนเองก็จะไม่ขัดข้อง แต่จะต้องมีการทำใบขับขี่ตามกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อน
ด้าน นายหล้า (นามสมมติ) อายุ 57 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องทนฟังเสียงจากท่อบิ๊กไบก์ทุกวัน และมักจะเป็นเวลาเดิม โดยเกิดขึ้นช่วงเวลาประมาณ 6.00 น. เนื่องจากเด็กอายุ 13 ปี จะต้องขับผ่านหมู่บ้านเพื่อไปเรียน จากนั้นช่วงเย็นหลังเลิกเรียนก็จะได้ยินเสียงดังอีกครั้ง ขับผ่านมายังถนนในหมู่บ้าน เสียงค่อนข้างดัง รบกวนชาวบ้านในพื้นที่มาก บางครั้งก็จะมีการเตือนเด็กที่ออกมาวิ่งเล่นบนถนน หรือออกมาปั่นจักรยาน หากได้ยินเสียงรถบิ๊กไบก์ขับผ่านมา จะต้องหลบ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดอันตราย
โดยหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ชาวบ้านในพื้นที่ต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น และตกใจเล็กน้อย เพราะในชุมชนจะได้ไร้เสียงท่อของบิ๊กไบก์รบกวน แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ หากหายดีแล้วจะกลับมาใช้รถเสียงดังเหมือนเดิมอีกหรือไม่ ตนเองอยากจะฝากไปยังครอบครัวและเด็ก อยากให้ระมัดระวังและลดการขับขี่เสียงดัง แม้ว่าครอบครัวของเด็กจะมีฐานะ แต่ก็ไม่ควรส่งเสริมลูกให้ขับขี่รถเสียงดังรบกวนชาวบ้าน
โดยรถบิ๊กไบก์ คาวาซากิ นินจา ZX10RR สีเขียว มีราคาคันละ 700,000 บาท แต่คันที่เกิดเหตุเป็นรถมือสอง ราคา 450,000 บาท และหากแยกชิ้นส่วนขาย ประเมิณราคาได้ประมาณ 100,000 บาท
คลิปข่าว
ขอบคุณ amarintv
No comments:
Post a Comment