ช่อ พ ร รณิการ์ ยิ นดีเปิด ราย ชื่อ 2427 ค นที่รับแจกเงิน 3 พัน
วันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ผู้สื่อข่าว dailyliveexpress รายงานว่า น ส พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายศรีสุรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนกรมการปกครองให้ตรวจสอบการระดมทุนรับบริจาคช่วย Co vid 19
โดยระบุว่า ก่อนที่จะเปิดระดมทุนได้มีการตรวจสอบ พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 แล้วว่า การเรี่ยไรไม่จำเป็นต้องของอนุญาตทุกกรณี ส่วนที่ต้องขออนุญาตคือ การเรี่ยไรบนถนนหลวง หรือการเรี่ยไรโดยวิทยุกระจายเสียง หรือเครื่องเปล่งเสียง ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ การเฟซบุ๊กไลฟ์ไม่ได้ถือเป็นวิทยุกระจายเสียง ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่เป็นการเรี่ยไร ก็ไม่ได้นำเงินไปทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียศีลธรรม หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร แน่นอน
ทั้งนี้ หากมีการดำเนินทางคดีจะทำอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตรวจสอบเรื่อง ทางคณะก้าวหน้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยินดีด้วยซ้ำที่มีผู้มาตรวจสอบ เพราะการทำโครงการระดมทุนเช่นนี้ ต้องมีความโปร่งใส เมื่อโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์เรียบร้อย ก็จะเปิดเผยรายชื่อของผู้ที่ได้รับการโอนเงินทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับเงินคือผู้ที่ขอรับสิทธิ์เข้ามาจริง ๆ ไม่ได้เป็นการมุบมิบเงินของประชาชนที่บริจาคเข้ามา
ส่วนกรณีที่ระบบการลงทะเบียนล่ม จนประชาชนต้องนำข้อมูลส่วนตัวมาโพสต์แบบสาธารณะ ตนยอมรับว่ามีความกังวลเช่นกัน จึงต้องไปลบโพสต์ที่มีข้อมูลในส่วนนั้นออกไปในภายหลัง ยอมรับว่ากังวลตั้งแต่ที่ประชาชนเริ่มโพสต์ในช่วงแรกแล้ว แต่ไม่สามารถจัดการหรือลบออกในตอนนั้นได้ เนื่องจากเหตุผลดังนี้
1 คอมเมนต์มีจำนวนมากเป็นล้านคน จึงไม่สามารถจัดการได้หมด
2 หากตัดโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวออกไป ก็อาจจะเกิดข้อครหาว่าไปตัดสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องปล่อยให้โพสต์เหล่านั้นอยู่ค้างไว้ก่อน
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าเรื่องข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ขอรับสิทธิ์ สำหรับตัวเลข 3 ล้านคอมเมนต์ก็เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และสะท้อนว่าคนที่ลำบากต้องการความช่วยเหลือ หรือคนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ มีมากมายมหาศาลขนาดไหน ตนเสียใจที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ทั้งหมด เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่บริหารภาษี จึงทำเท่าที่ทำได้ แม้จะถูกโจมตีก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย การที่ตนสามารถช่วยประชาชนได้ 2,427 ครัวเรือน ถือว่าคุ้มค่า
น.ส.พรรณิการ์ ยังแย้มว่า จำเป็นต้องมีโครงการที่ 2 เพราะยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ เนื่องจากยังโอนเงินให้ประชาชนไม่เสร็จ จึงตั้งใจว่าจะใช้บัญชีนี้โอนให้หมดทีเดียว ไม่อยากย้ายไปหลายบัญชี เกรงว่าจะเกิดข้อครหาเรื่องความโปร่งใส
ขณะนี้ยังมีเงินบริจาคไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่จำเป็นต้องปิดยอดการบริจาคในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ตัวเลขผู้รับสิทธิ์ที่แน่นอน ดังนั้น จำนวนที่เกินจากวันที่ 3 พฤษภาคม ก็จะยกยอดนำไปทำโครงการช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ c d 19 ต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยถึงกลุ่มผู้ร่วมบริจาคเงินว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ได้เห็นว่า มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่บริจาคเงินในครั้งนี้มาจากคนทั่วไป มียอดบริจาคตั้งแต่ 10 ถึง 500 บาทต่อครั้ง ส่วนยอดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่น หรือภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถือว่าน้อยมาก สะท้อนว่า เป็นการช่วยเหลือกันของประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีรายได้สูง ที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ
วันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ผู้สื่อข่าว dailyliveexpress รายงานว่า น ส พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายศรีสุรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนกรมการปกครองให้ตรวจสอบการระดมทุนรับบริจาคช่วย Co vid 19
โดยระบุว่า ก่อนที่จะเปิดระดมทุนได้มีการตรวจสอบ พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 แล้วว่า การเรี่ยไรไม่จำเป็นต้องของอนุญาตทุกกรณี ส่วนที่ต้องขออนุญาตคือ การเรี่ยไรบนถนนหลวง หรือการเรี่ยไรโดยวิทยุกระจายเสียง หรือเครื่องเปล่งเสียง ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ การเฟซบุ๊กไลฟ์ไม่ได้ถือเป็นวิทยุกระจายเสียง ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่เป็นการเรี่ยไร ก็ไม่ได้นำเงินไปทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียศีลธรรม หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร แน่นอน
ทั้งนี้ หากมีการดำเนินทางคดีจะทำอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตรวจสอบเรื่อง ทางคณะก้าวหน้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยินดีด้วยซ้ำที่มีผู้มาตรวจสอบ เพราะการทำโครงการระดมทุนเช่นนี้ ต้องมีความโปร่งใส เมื่อโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์เรียบร้อย ก็จะเปิดเผยรายชื่อของผู้ที่ได้รับการโอนเงินทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับเงินคือผู้ที่ขอรับสิทธิ์เข้ามาจริง ๆ ไม่ได้เป็นการมุบมิบเงินของประชาชนที่บริจาคเข้ามา
ส่วนกรณีที่ระบบการลงทะเบียนล่ม จนประชาชนต้องนำข้อมูลส่วนตัวมาโพสต์แบบสาธารณะ ตนยอมรับว่ามีความกังวลเช่นกัน จึงต้องไปลบโพสต์ที่มีข้อมูลในส่วนนั้นออกไปในภายหลัง ยอมรับว่ากังวลตั้งแต่ที่ประชาชนเริ่มโพสต์ในช่วงแรกแล้ว แต่ไม่สามารถจัดการหรือลบออกในตอนนั้นได้ เนื่องจากเหตุผลดังนี้
1 คอมเมนต์มีจำนวนมากเป็นล้านคน จึงไม่สามารถจัดการได้หมด
2 หากตัดโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวออกไป ก็อาจจะเกิดข้อครหาว่าไปตัดสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องปล่อยให้โพสต์เหล่านั้นอยู่ค้างไว้ก่อน
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าเรื่องข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ขอรับสิทธิ์ สำหรับตัวเลข 3 ล้านคอมเมนต์ก็เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และสะท้อนว่าคนที่ลำบากต้องการความช่วยเหลือ หรือคนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ มีมากมายมหาศาลขนาดไหน ตนเสียใจที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ทั้งหมด เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่บริหารภาษี จึงทำเท่าที่ทำได้ แม้จะถูกโจมตีก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย การที่ตนสามารถช่วยประชาชนได้ 2,427 ครัวเรือน ถือว่าคุ้มค่า
น.ส.พรรณิการ์ ยังแย้มว่า จำเป็นต้องมีโครงการที่ 2 เพราะยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ เนื่องจากยังโอนเงินให้ประชาชนไม่เสร็จ จึงตั้งใจว่าจะใช้บัญชีนี้โอนให้หมดทีเดียว ไม่อยากย้ายไปหลายบัญชี เกรงว่าจะเกิดข้อครหาเรื่องความโปร่งใส
ขณะนี้ยังมีเงินบริจาคไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่จำเป็นต้องปิดยอดการบริจาคในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ตัวเลขผู้รับสิทธิ์ที่แน่นอน ดังนั้น จำนวนที่เกินจากวันที่ 3 พฤษภาคม ก็จะยกยอดนำไปทำโครงการช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ c d 19 ต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยถึงกลุ่มผู้ร่วมบริจาคเงินว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ได้เห็นว่า มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่บริจาคเงินในครั้งนี้มาจากคนทั่วไป มียอดบริจาคตั้งแต่ 10 ถึง 500 บาทต่อครั้ง ส่วนยอดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่น หรือภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถือว่าน้อยมาก สะท้อนว่า เป็นการช่วยเหลือกันของประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีรายได้สูง ที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ
No comments:
Post a Comment