วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ในขณะที่โลกออนไลน์ มีการตั้งข้อสังเกตจาก ทนายอัจฉริยะ หรือ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม บอกว่า คดีน้องชมพู่ตำรวจใกล้จะปิดคดีแล้ว เพราะศพมีดีเอ็นเอเด็กเพียงผู้คนเดียว ตนกล้าเอาหัวล้านเป็นประกันได้
สำหรับหลักฐานที่ตำรวจเก็บได้นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ เส้นขนตกบนศพ รอยนิ้วมือรถของเล่น รอยนิ้วมือถุงขนมที่ตกอยู่บนเขา รอยนิ้วมือแหวน รอยนิ้วมือกล่องนมต่าง ๆ นั้นไม่พบดีเอ็นเอของคนร้ายแต่อย่างใด งานนี้คนร้ายอาจจะจับตัวไม่ได้ ทั้งนั้นทั้งนั้นในเรื่องของการจับคนร้ายนั้นหากจับไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงไปได้เลย อาจจะทำให้คนในหมู่บ้านกกกอกไม่ปลอดภัย งานนี้ก็ทำให้ ซึ่งในตอนแรกนั้นทุกคนต่างหวังDNAในหลักฐานดังกล่าว แต่สุดท้ายกลับไม่พพบ
พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ อดีตผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และอดีตสารวัตรกองปราบนครบาล มองว่า อาจจะไม่เจอ DNA ของคนร้าย จึงมาขอกล้องหน้ารถของในเสริม เพราะว่ากล้องหน้ารถ หรือกล้องวงจรปิด เป็นพยานวัตถุที่สำคัญส่วนหนึ่ง จะเห็นภาพคนร้าย คิดว่าตำรวจคงไม่มีดีเอ็นเอของคนร้าย จึงไปเอาหลักฐานกล้องหน้ารถบ้านน้าเสริม เนื่องจากบ้านติดกัน น้าเสริมเป็นคนสำคัญของคดีนี้ที่ให้ข้อมูลสำคัญได้ ควรจะไปตรวจกล้องหน้ารถตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้ว
ขณะที่ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า อะไรที่สามารถเป็นหลักฐานสืบไปถึงตัวคนร้ายได้ ตำรวจก็จะนำมาพิจารณาทั้งหมด หากกู้ไฟล์ภาพได้ก็จะมีประโยชน์อย่างมาก เพราะบริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด แต่หากกู้ไฟล์ภาพไม่ได้ ตำรวจก็จะไปหาเบาะแสในส่วนอื่น ๆ
เช่นเดียวกับ นพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ มองว่า หลังจากที่ขึ้นไปเก็บหลักฐานบนเขา ตนยืนยันได้ว่ามากถึง 90% เด็กอายุเท่านั้นไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟได้อย่างแน่นอน
ส่วนประเด็นที่บอกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะพักคดี ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า แต่ละคดีมีความยากง่ายต่างกัน บางคดีคนร้ายไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย อย่างเช่นในต่างประเทศ คดีของ FBI ก็เคยมี โดยเจ้าหน้าที่จะเรียกคดีแบบนี้ว่า Cool Case แต่ไม่ได้หยุดสืบสวน เพราะอนาคตอาจจะมีเทคโนโลยีมาพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายเป็นใคร ถ้าดีเอ็นเอหรือหลักฐานยังไม่ชัด ก็ยังไม่ออกหมายจับ อาจจะผ่านไป 3-5 ปี ทั้งนี้ในบ้านเราสำนวนคดีจะเก็บตามแฟ้มบุคคล หากตำรวจนายนั้นย้ายไปสังกัดอื่น คนที่มารับทำงานต่อก็จะต่อยาก แต่ถ้าจัดเก็บเป็นระบบ การทำงานก็จะง่ายมากขึ้น
พ.ต.อ.สุรโชค มีความเห็นว่า คดีนี้คนร้ายทำงานเป็นทีม แล้วมีเวลาเตรียมการมาก เพราะทำงานคนเดียวทำไม่ได้ อีกทั้งตนมองว่าไม่ควรพักคดี วิธีการคือควรมาเริ่มต้นใหม่ ควรที่จะขอพนักงานสอบสวนฝีมือดีจากกองปราบปราม และควรตั้งเงินรางวัลให้สูงเข้าไว้ มีการจัดฉาก เชื่อแบกเด็กขึ้นเขาทำคนเดียวไม่ได้ คนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ดี
No comments:
Post a Comment