ตำรวจเชิญให้ทนายความ หมอปลา ลุงพล-ป้าแต๋น เดินทางเข้าไปภายในห้องสอบสวน ซึ่งทีมข่าวสังเกตว่า นายธนกฤต หลาบโพธิ์ สามีผู้ใหญ่บ้านขัวสูง ในฐานะพยายของพ่อน้องชมพู่ เดินทามาที่ สภ.มุกดาหารด้วย แต่ไม่ได้ถูกเชิญเข้าไปด้านใน
ขณะที่หมอปลา บอกว่า มีกระบวนการปรักปรำลุงพล นายธนกฤต เปิดเผยว่า ตนไม่รู้วัตถุประสงค์ของกลุ่มคนดังกล่าวว่าทำไปเพื่ออะไร เป็นการเล่นละครเกินไปหรือไม่ ตนรู้ตัวละครทั้งหมดแล้วในละครเรื่องนี้ แต่ยังไม่รู้จักผู้กำกับละคร ดังนั้นเป็นใครก็ให้รีบออกมาแสดงตัวโดยเร็ว ผู้กำกับไม่รู้ รู้แต่นักแสดง ใครเขียนบท ออกมาเปิดเผยตัวเองหน่อย
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงสงสัยเกี่ยวกับกระสอบข้าว หรือกระสอบปุ๋ย ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเก็บจากบ้านลุงคนไปตรวจดีเอ็นเอนั้น
โดยกระสอบที่ก่อนหน้านี้ตำรวจได้เข้ามาที่บ้านลุงพล และได้ยึดไปตรวจสอบ เป็นกระสอบถุงปุ๋ยยี่ห้อหนึ่ง จำนวน 2 ใบ ขนาดความกว้าง 58 เซนติเมตร และยาวยาว 52 เซนติเมตร
จึงได้ทดสอบ 3 รูปแบบ กรณีหากเด็กถูกซ่อนเอาไว้อยู่ในกระสอบปุ๋ย ซึ่งเป็นกระสอบปุ๋ยสำหรับบรรจุได้ 25 กิโลกรัม กว้าง 58 เซนติเมตร สูง 92 เซนติเมตร
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
แบบที่ 1 วัดขนาด เทียบกับความสูงของน้องชมพู่ คือ 85 เซนติเมตร โดยทีมข่าวได้วัดความสูงของกระสอบได้ 92 เซนติเมตร ส่วนความสูงของเด็ก ทีมข่าวได้ใช้แผ่นโฟมแนวตั้ง วัดด้วยความสูงเทียบเคียงของเด็ก 85 เซนติเมตร พบว่าขนาดกระสอบจะมีความสูงกว่าเด็กประมาณ 7 เซนติเมตร
แบบที่ 2 ทีมข่าวทดสอบเข้าไปอยู่ในกระสอบ ทีมข่าวได้ย่อตัวลง แล้วให้ป้าถอน ในฐานะพยานลุงพล นำกระสอบปุ๋ยคลุมทีมข่าว และอยู่ภายในระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถมัดปากกระสอบได้ เพราะเนื่องจากครีมขาวตัวขนาดใหญ่กว่าเด็ก
แต่จากการเข้าไปอยู่ภายในกระสอบของทีมข่าว สัมผัสได้ว่า อากาศหายใจค่อนข้างน้อย ไม่มีรูสำหรับช่องหายใจ เพราะมีการเย็บตะเข็บกระสอบอย่างมิดชิด และตัวกระสอบก็ไม่สามารถมีรูสำหรับหมุนเวียนอากาศเข้าไปภายในได้ เพียงแค่ทีมข่าวเข้าไปอยู่ด้านในไม่ถึง 1 นาที ยอมรับว่าค่อนข้างหายใจลำบากพอสมควร
จากนั้นทีมข่าวได้ใช้ไฟฉาย ส่องดูบริเวณตัวกระสอบ เพื่อสำรวจว่ามีรูหรือช่องระบายอากาศหรือไม่ พบว่าเป็นกระสอบที่ไม่มีช่องระบาย แม้แต่แนวตะเข็บเย็บ ก็ไม่มีรูสำหรับอากาศที่จะเวียนเข้าไปภายในกระสอบเช่นเดียวกัน
ภายหลังใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายจีระพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา ออกมาเปิดเผยกับทีมข่าวว่า คลิปที่ได้รับไปวันนี้จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการทำคดีน้องชมพู่ แต่วันนี้ชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ภายในห้องสอบสวน ไม่สามารถตอบข้อสงสัยหรือตอบข้อซักถามได้มากเท่าที่ควร เพราะต้องให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหารเป็นคนตอบด้วยตัวเอง แต่คดีมีความคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว ส่วนอีก 20% ตำรวจบอกให้รออีกไม่นาน เพราะตอนนี้เพียงแค่รอความชัดเจนกับพยานหลักฐานอีกบางส่วน
อีกทั้งส่วนตัวยังได้ย้ำกับตำรวจว่า คลิปที่นำมามอบให้คือประโยชน์ทางคดีอย่างมาก และคลิปดังกล่าวก็ไม่ได้มีการตัดต่อ เป็นคลิปเต็มจากการสนทนาเพียง 1 ครั้ง ในความยาวต่อเนื่อง 59 นาที และคลิปย่อย ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนความชัดเจนที่ตนทวงถามตอบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ในการเข้าไปตรวจค้นบ้านลุงพล และนำพยานหลักฐานกลับออกไปด้วยนั้น หมอปลาบอกว่า ในวันที่ตำรวจเข้าไปปฏิบัติงานได้ใช้การขออนุญาตและขอความร่วมมือ แต่รายละเอียดอื่นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และทางด้านของตำรวจที่อยู่ภายในห้องสอบสวน ยังชี้แจงว่าไม่มีตำรวจไปบอกกับนักข่าว กรณีใครเฝ้าติดตามพฤติกรรมของลุงพล หรือแม้แต่บอกว่าลุงพลเป็นคนร้าย เพราะตำรวจไม่มีอำนาจหน้าที่
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
สำหรับ เรื่องของคลิปเสียง หมอปลายืนยันว่าบุคคลปลายสายมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งอยู่ออสเตรเลีย อีกคนหนึ่งอยู่เยอรมัน โดยระหว่างการพูดคุยกับตำรวจในห้องสอบสวนนั้น ได้มีการต่อสายพูดคุย พร้อมทั้งได้นำหมายเลข 13 หลัก มาตรวจสอบยืนยันว่ามีตัวตนอยู่จริงในประเทศไทย ฉะนั้นตำรวจจึงเชื่อมั่นว่าบุคคลเหล่านั้นมีอยู่จริงไม่ได้สร้างขึ้นเอง
หมอปลา ยังฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า คดีน้องชมพู่เป็นคดีคนตาย ไม่ใช่คดีขโมยสิ่งของในร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นโทษสูงสุดคือประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนตัวจึงอยากให้ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ จับคนร้ายให้ได้ และส่วนตัวรู้สึกเสียใจ ที่คนในคลิป หรือคนอื่น ๆ เกิดความไม่พอใจ ออกมาฟ้องดำเนินคดีในฐานะคนปช่อยคลิป ทำให้รู้สึกเสียใจ ที่ออกมาทำให้คดีคืบหน้า “พวกมึงไม่อยากรู้หรือไงว่าใครฆ่าน้องชมพู่”
อีกทั้ง หมอปลา ยังถามตำรวจวันนี้ เกี่ยวกับเครื่องจับเท็จ ซึ่งตำรวจบอกว่า รอขั้นตอนอยู่ หลังจากนี้อาจนำมาใช้ก็ได้ ซึ่งให้รออีกระยะหนึ่งก่อน
ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว
ส่วนนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบกับตำรวจ สภ.มุกดาหาร เปิดเผยว่า คลิปที่หมอปลานำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ เป็นคลิปที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกกกอก ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและมีความเป็นไปได้สูง แต่ยกเว้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อตาที่ตนไม่เคยทราบ เพราะย้ายเข้ามาอยู่ภายหลัง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชมพู่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด
แต่ภายหลังที่นำคลิปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ทางเจ้าที่ตำรวจ เปิดเผยเบื้องต้น ว่า อาจมีบางช่วงที่เกิดจากการมโน หรือการพูดคุยนอกรอบ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งตนพยายามชี้แจ้งว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเป็นลำดับของเหตุการณ์ในหมู่บ้านกกกอก และยืนยันว่าไม่ใช่การมโน
ส่วนเรื่องที่ทนายความและหมอปลา ได้เรียกร้องให้ตำรวจเรียกสอบตามข้อเรียกร้อง เช่น การเรียกสอบบุคคลขึ้นเขาภูเหล็กไฟค้นหาน้องชมพู่เพียงลำพัง วันที่ 12 พ.ค.63 ลุงพล บอกว่า เรื่องนี้ ตนยังไม่รู้ว่าที่ผ่านมามีการเรียกสอบไปแล้วหรือยัง แต่ก็อยากให้คนในคลิปเสียงออกมาพูดความจริง ว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับคดีน้องชมพู่ และไปนำข้อมูลมาจากไหน
ทั้งนี้ ภายหลังมีเพจข้อความในเฟสบุ๊ก โพสต์ ข้อความทำนองว่า “ตร.สงสัยกระสอบท้ายกระบะลุงพล” นั้น ส่วนตัวไม่รู้ว่า ไปเอาข้อมูลมาจากไหน และไม่รู้ว่าใครจะสงสัยหรือไม่ แต่ในวันที่ไปส่งพระนั้น มีกระสอบข้าวที่ยกลงไปให้พระครูบารัตน์ 1 กระสอบ ส่วนอีก 1 กระสอบพระมอบให้ตน แต่วันนั้นฝนตกจึงย้ายมาไว้ในแคปรถ ซึ่งมีนางถอน นายม็อค พระ ป้าแต๋น เป็นพยานให้ได้
แต่วันนี้ หลังจากตนเองเจอกับตำรวจ ถือเป็นครั้งแรกหลังมีคดี ตำรวจยืนยันชัดเจนว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยมีตำรวจคนไหนสงสัยในตัวลุงพล ส่วนเรื่อง กระบวนการปรักปรำลุงพล รวมถึงให้สื่อช่วยจับตาเป็นพิเศษ ตนมองว่า ไม่รู้ว่าเกิดจากใคร และใครอยู่เบื้องหลัง
ขอบคุณที่มาจาก ทุบโต๊ะข่าว
No comments:
Post a Comment