จากกรณีพิธีกรชื่อดัง หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ถูก ดร.เซปิง ไชยศาสน์ ประธานโครงการความงามเฟซออฟ ฟ้องเรียกเงิน 50 ล้านบาท จากกรณีที่พิธีกรหนุ่มได้เป็นผู้ดำเนินรายการโหนกระแส ในเทป FACE OF ภาค 2 ล่าสุด หนุ่ม กรรชัย ได้เปิดใจหมดเปลือกเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ความรู้สึกในการโดนฟ้อง
แปลกๆ เพราะเราทำงานเป็นสื่อ เราเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเขาได้รับความเกิดความเดือดร้อน จากผลที่ได้รับจากทำสวย เขาก็เลยมาออกรายการโหนกระแส เราก็ถามตามความเท็จจริง แต่ว่าเราไม่ได้ไปบอกว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราไม่ได้พูด เราทำตามหน้าที่บริบทของสื่อ สุดท้ายเราก็บอกด้วยซ้ำว่าคู่กรณีของเขาก็ยินดีมาให้ออกอากาศนะ เพื่อที่จะมาชี้แจงอีกมุมหนึ่งเหมือนกัน เราก็อยากจะฟัง
แต่บังเอิญว่าวันนั้นมันมีเหตุการณ์ที่เป็นการบ่งชี้ว่าเกิดเรื่องนั้นจริงๆ ในมุมของตำรวจเขาก็มีการแถลงข่าวเรื่องของคู่กรณีและของผู้เสียหายมาออกรายการอยู่แล้ว ซึ่งก็มีการแถลงข่าว วันนั้นถ้าจำไม่ผิดคือ 4 เมษายน วันนั้นเขาก็ขอมาออกอากาศ เราก็ให้มาเขามาออก
เราหาข้อมูลมาไว้อยู่แล้ว
คือข้อมูลเรามีอยู่แล้ว เขาเอาข้อมูลมาส่งให้กับทีมงานอยู่แล้ว ตำรวจแถลงข่าวด้วยเพราะฉะนั้น ทุกอย่างมันครบหมดอยู่แล้ว
ได้กลับมาย้อนเทปดูไหม
ดู กลับไปดูหลายครั้ง เราก็ยังยืนยันว่า เราไม่ได้มีการไปหมิ่นประมาทเขาเลยนะ แม้กระทั่งวันนั้นเรารู้ด้วยว่าคู่กรณีที่มานั่งในรายการเราเป็นใคร เราก็ไม่เอ่ยชื่อเขา เพราะเรารู้สึกว่าเอ่ยชื่อไปมันไม่ดีหรอก เราถนอมเขาเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าผมมีเหตุเกลีย ด ผมไม่ชอบเขา หรือผมต้องการจะหมิ่นเขาจริงๆ คงเอ่ยชื่อไปเลย หากถามว่าเอ่ยได้มั้ย เอ่ยได้เพราะว่ามันมีข่าวที่ตำรวจเขาแถลงอยู่แล้ว ตำรวจเขาพูดไปแล้วว่าเป็นใคร แต่นี่ผมก็ไม่พูด แล้วจะไปหมิ่นยังไง
ตอนที่รู้ว่าโดนฟ้องติดต่อเขาไหมว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน ก่อนอื่นต้องเล่าว่าจริงๆ แล้วระบบกฎหมายอาญาเมืองไทยเป็นระบบกล่าวหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใครก็ตามแต่ที่รู้สึกโดนเอารัดเอาเปรียบ ดูถูกดูหมิ่นเกลีย ด เขามีสิทธิ์ที่จะไปแจ้งความหรือ ไปฟ้องร้องต่อศาลก็ได้
ศาลท่านก็จะต้องรับไว้ไต่สวนมูลฟ้อง พอศาลรับข้อมูลไต่สวนมูลฟ้องเสร็จปุ๊บ ขั้นแรกเนี่ยสมมติว่าคู่กรณีของเราเขารู้สึกว่า เราไปพาดพิงถึงเขา เขาก็ต้องไปชี้แจงกับศาลคนเดียว โจทย์ต้องไปทำให้กับศาลว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราจะไม่ได้ไปชี้แจงในชั้นนั้น แต่เราจะส่งทนายไปเพื่อไปซักค้านว่ามันเป็นแบบนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วของผมจำเลยทั้งหมดมี 7 คน
ฉะนั้นผมมั่นใจว่าพอศาลพิจารณาแล้ว น่าจะมีการไปสืบต่อในขั้นพิจารณา โอกาสนั้นแหละ คือโอกาสที่ผมจะได้ไปชี้แจงว่าในมุมของผมเป็นยังไง เพราะว่าตัวโจทย์เขาไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งชั้นนั้นเราไม่ได้ไป เรื่องมีอยู่แค่นี้ เรายังไม่ได้แพ้ เรายังไม่ได้ชนะ ยังไม่มีใครผิด ยังไม่มีใครถูก
ยังไม่มีการไกล่เกลี่ย
ยังไม่มีการไกล่เกลี่ย ยังไม่มีการตัดสินจากศาลใดใดเลย
การประจันหน้ากันที่ศาล เขาบอกว่าถ้า หนุ่ม กรรชัย ยอมขอโทษเขาก็จะยอมให้
เราต้องย้อนไปถามบริบทของการตัดสินก่อนว่า คำว่า ขอโทษ ถ้าเราขอโทษแสดงว่าเราผิดแล้ว แต่ ณ วันนั้นศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าเราผิดหรือเราถูก เพราะยังอยู่แค่ขั้นแรกเท่านั้นเอง หลังจากไต่สวนมูลฟ้องแล้วท่านก็ผลักไปอยู่ขั้นพิจารณา ท่านยังไม่ได้พิพากษา ยังไม่ได้ตัดสินใดใดกันเลย แล้วถ้าเกิดเราไปขอโทษแสดงว่าเราก็ผิดแล้วสิ เราจะไปขอโทษได้ยังไง เพราะเราก็มั่นใจ
ในมุมของคนทำสื่อ คือเราเป็นสื่อเรายินดีที่จะเปิดโอกาสให้ทั้งคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาชี้แจงกันอยู่แล้ว เราไม่ได้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เราแค่ถามว่ามันเป็นมายังไง คำว่าเฟซออฟมันคือคำสามัญ ใครก็ใช้ได้เราไม่ได้ไปว่าโครงการเขา เพียงแต่ว่าผู้เสียหายเขาพูดมาอย่างนั้น เราก็เลยเอามาตั้งเป็นหัวข้อ เป็นข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายที่เขาเอามาเล่า แต่ถ้าในมุมของคู่กรณีต้องการมาชี้แจงพี่เปิดโอกาส ผมบอกในรายการแล้วว่าให้มา
แต่ทีนี้แกติดต่อมานะ ถ้าจำไม่ผิดในวันที่ 30 มิถุนายน ติดต่อมาทางทีมงานแล้วก็บอกว่าอยากจะออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ทีมงานบอกยินดีมาเลย แล้วบอกว่ามีอะไรเพิ่มเติมมั้ย เขาก็บอกว่ามี ทางทีมงานเราเลยขอข้อมูลก่อน แล้วจะไปปรึกษากับทาง หนุ่ม กรรชัย แต่หลังจากนั้นคู่กรณีก็ยังไม่มีการส่งข้อมูลมาให้ เราก็รอ ผ่านไป 2 วัน เข้าสู่ วันที่ 3 กรกฎาคม เขาก็ไปฟ้องเลยขึ้นศาลเลย
ในฐานะคนทำสื่อรู้สึกยังไงบ้าง ตีแผ่ข้อเท็จจริงแต่กลับต้องโดนฟ้อง
ไม่รู้สึกอะไรเพราะตัวผมเองในเมื่อตัดสินใจที่จะมาทำงานทางด้านนี้แล้ว ผมยอมรับข้อเท็จจริงว่า สักวันผมต้องโดน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องถอดใจ เพราะเรามั่นใจว่าเราทำงาน เราทำการบ้าน นำเสนออย่างตรงไปตรงมา แล้วเราก็ไม่ได้มีการที่จะไปหมิ่นประมาทใคร
ที่สำคัญผมไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขา ไม่เคยเกลีย ดเขา ผมไม่รู้จักเขามาก่อน แล้วอยู่ดีๆ จะไปหมิ่นประมาททำให้เขาเสียชื่อเสียงทำไม โอเคอาจจะมีที่คู่กรณีบอกข้อเท็จจริงว่าเขาโดนแบบนี้ คนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็บอกติดต่อเรามา เรายินดีเป็นกระบอกเสียงให้อยู่แล้ว แต่เมื่อสุดท้ายเขาเลือกที่จะไปฟ้องศาล มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาเรามีหน้าที่ไปชี้แจงกับศาล แน่นอนว่าในมุมของสื่อผมมั่นใจว่าทำหน้าที่ถูกต้องแล้วตรงไปตรงมา
ต่อไปการทำงานของโหนกระแสจะต้องระมัดระวังตัวยังไง
ผมบอกเลยว่าไม่ได้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วผมต้องมาระมัดระวัง ผมระวังตัวตั้งแต่แรกตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในรายการนี้ ทุกครั้งที่จะมีการออกอากาศ ก่อนที่จะมีเด็กมาสัมภาษณ์ ผมจะต้องโทรหา กสทช. ถามว่าได้หรือไม่ได้
ทุกครั้งที่มีการออกอากาศภาพรุนแรงไป ผมต้องคอยบอกคนที่สถานีว่าเอาภาพลงครับ ทุกครั้งที่มีการวนลูปเกิน 3-4 ครั้ง ผมบอกว่าพอแล้วครับ ตามกฎของกสทช. ให้ลูปได้แค่ 2 ครั้ง ผมเป็นคนรู้จักคำว่าผิดชอบชั่วดีในสังคม ผมมั่นใจ
ผมไม่มีทางที่จะไปหมิ่นประมาทใคร ผมคงต้องพูดคำว่า มนุษย์เราเลือกเกิดไม่ได้อยู่แล้ว คือเกิดมาแน่นอนว่าในมุมของมนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าต้นทุนทางสังคมอาจจะไม่เท่ากัน แต่คุณค่าของมนุษย์เท่ากัน ฉะนั้นมีสิทธิ์ที่จะมีปากมีเสียง แต่สุดท้ายแล้วสังคมจะเป็นคนชี้นำเองว่าคุณเป็นคนยังไง
ทุกวันนี้ติดใจ ดร.เซปิง หรือว่าโกรธที่เขาไปฟ้องไหม
ไม่โกรธ ไม่เคยโกรธ และไม่เคยเกลีย ดดร.เซปิง ถึงแม้ดร.เซปิงจะมีการไปฟ้องร้องผม เพราะผมมองว่าแกก็เป็นมนุษย์คนนึง แกรู้สึกถูกพาดพิง แกก็มีสิทธิ์หาที่พักพิง ก็คือการไปฟ้องศาล แล้วจะไปโกรธแกได้ยังไง ผมแค่อธิบายให้แกฟังว่า ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น
อาจจะเป็นเพราะว่าผมกับดร.เซปิงยังไม่มีการพูดคุยกันเลย มันก็เลยมีเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดเรามีการพูดคุยกัน อาจจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ก็ได้ แค่ว่าเราไม่ได้พูดคุยกันมันก็อาจจะมีเรื่องไปถึงชั้นศาลได้ไง ผมว่าทั้งหมดมันอยู่ที่เจตนา
วันนั้นผมเจอแกก็ยกมือไหว้ ผมไม่ใช่คนที่แบบฟ้องฉันเหรอ งั้นไม่คุยด้วย หันหน้าหนี มันไม่ใช่วิถีชีวิตของผม ผมขอโทษได้หมดทุกคนนะ แต่ว่าเรื่องนี้มันมีความจำเป็น ซึ่งสิ่งที่ผมไหว้ขอโทษไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะว่ามันยังมีพี่น้องของผมที่เป็นสื่ออีกเยอะแยะมากมาย
ถ้าวันนี้ผมต้องไหว้แล้วขอโทษแล้วคนอื่นที่ทำสื่อเหมือนกับผมทุกที่ ต่อไปการนำเสนอแบบนี้ มันจะเป็นบรรทัดฐานในการต้องไปขอโทษคนอื่นด้วยเหรอ ผมว่ามันไม่ยุติธรรมกับคนที่ทำสื่อแบบผมนะ ฉะนั้นวันนี้ผมไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง ผมสู้กับเพื่อนร่วมอาชีพของผม ถ้าวันนี้ผมชนะในเรื่องนี้ อย่างน้อยๆ ทุกคนจะได้เห็นว่านี้คือการทำงานของสื่อ เราไม่ได้ต้องการจะไปพาดพิงให้เขาเสียหาย
ถ้าเกิด ดร.เซปิง ฟังอยู่อยากจะบอกอะไร
วันนั้นผมไม่ได้คุยกับดร.เซปิง แต่ว่าน่าจะเป็นคนสนิทของดร.เซปิงมาด้วย ผมเดินเข้าไปต บไหล่เขา แล้วบอกว่าฝากบอกว่าผมก็ไม่สบายใจกับสิ่งที่ดร.รู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาหรือคิดที่จะดูหมิ่น หรือทำให้ดร.รู้สึกไม่ดีกับผม ผมเป็นสื่อคนหนึ่ง เราเป็นสื่อกลางที่อยากจะนำเสนอเพื่อสังคมให้ดีขึ้น อาจจะแก้ไม่ได้ทั้งโลก แก้ไม่ได้ทั้งประเทศหรอก แต่ถ้าเราทำได้แค่วันหนึ่งสองวันให้มันดีขึ้นเคสหนึ่ง ผมว่ามันก็จะดีขึ้น
แต่ถ้าบอกว่าจะให้ผมขอโทษในมุมของความผิด ผมจะบอกว่าเรื่องนี้ผมก็มั่นใจว่าผมไม่ผิด จะให้ผมขอโทษในมุมที่ผมผิดคงไม่ได้ เรื่องของหมิ่นประมาทขอโทษไม่ได้จริงๆ เพราะว่าผมยังไม่ได้ผิด แล้วที่สำคัญที่ ดร.บอกว่าจะดูว่าผมสำนึกหรือยัง ผมยังสำนึกไม่ได้ เพราะผมยังมั่นใจว่าผมยังไม่ผิด”
ผมสำนึกเมื่อผมผิดแล้ว ผมจึงสำนึก แต่วันนี้ผมยังไม่ผิด ผมสำนึกไม่ได้ ถ้าผมสำนึกเพื่อนร่วมอาชีพผมอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคนที่เป็นสื่อ เขาจะต้องสำนึกอย่างนี้ด้วยหรือเปล่าถ้าเขาทำข่าวอะไรแบบนี้
ณ วันนี้เราโดนวิจารณ์ไปแล้ว เราแคร์คำพูดของคนอื่นไหม
ไม่ครับ ผมว่าทุกคนที่เข้ามาทำสื่อ ทุกคนเตรียมใจที่จะเจอเรื่องพวกนี้ ถ้าเรามาถอดใจวันนี้ หรือว่านั่งแคร์ความรู้สึกคนที่มาว่าเรา เราจะมาเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนทำไม แต่วันนี้เมื่อเราเลือกที่จะเป็นกระบอกเสียงให้เขาแล้ว ถ้าเรามองข้ามมันไป อย่างน้อยผมเชื่อว่าสิ่งที่เราเป็นกระบอกเสียงให้เขามันยังมีพลังอยู่
ก่อนหน้านี้ หนุ่ม กรรชัย มีคำนิยามที่คนทั่วรู้จักมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงมากความสามารถ คาสโนว่า พิธีกร แต่ทุกวันนี้คนมองว่า พี่หนุ่มเป็นสื่อ ตัวเรานิย ามตัวเองว่าเป็นสื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ได้หรือยัง
ผมยังไม่ใช่สื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องบอกก่อนว่าผมมาจากคนบันเทิง ผมทำงานมากกว่าสื่อสองสามเท่าตัว เพราะว่าผมไม่ได้มีประสบการณ์ในด้านนี้ แต่สื่อที่เป็นคนข่าว คนทำงานด้านข่าวมาก่อนหน้านี้ เขามีประสบการณ์ในด้านข่าวมาสูงมาก เพราะฉะนั้นเขาคือคนข่าวตัวจริง แต่ผมเป็นคนบันเทิงกึ่งคนทำข่าวคนใหม่ เพียงแต่ผมได้รับโอกาสที่ดีเท่านั้นเอง แล้วผมก็ฉกฉวยมันไว้
และเมื่อได้รับโอกาสมาแล้ว ก็ต้องทำตัวให้ควรค่ากับโอกาสเท่านั้นเอง ที่สำคัญที่สุดวันนี้ให้ย้อนกลับไปมองตัวเองว่าผมเป็นคนสื่ออย่างเดียว ไม่ใช่คนบันเทิงหรือเปล่า ผมทำไม่ได้ เพราะคำว่าคนบันเทิงมันคือรากเหง้าของผมจริงๆ ผมไม่สามารถทิ้งรากเหง้าของตัวเองได้ คนเราถ้าลืมรากเหง้าของตัวเอง มันไปทำอะไรก็คงไม่เจริญ ผมยังยืนยันว่าผมเป็นคนบันเทิง ที่วันนี้ผมมาจับงานสื่อเพื่อเห็นว่าสังคมต้องการคนที่ทัชได้อย่างผมมากกว่า
ท้งนี้ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เปิดใจหมดเปลือกถึงเรื่องที่โดน ดร.เซปิง ฟ้องร้องเรียก 50 ล้าน พร้อมเผยเหตุที่ขอโทษไม่ได้
No comments:
Post a Comment