วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทีมข่าว siamnews รายงานว่า จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊กชื่อ Alissa Janine Wollmann หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม อลิสา จณิน โวลล์มันน์ สาวลูกครึ่งไทยเยอรมัน วัย 22 ปี ศิลปินไทยคนแรกที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงชื่อดังเก่าแก่ของอังกฤษ ได้โพสต์รีวิวถึงการกักตัวสถานกักตัวรัฐ
ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเผยผลตรวจโควิดแล้ว โดยระบุว่า ในวันนี้จณินอยากเล่าประสบการณ์ระหว่างช่วงโควิดในปีที่ผ่านมาว่าทำยังไงถึงไม่ติดโควิด ทั้งๆที่เยอรมนีเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเยอะมาก กรุงเบอร์ลินที่จณินเรียนอยู่ ก็มีผู้ติดเชื้อแสนกว่าคนเลย ทั้งเยอรมนีติดโควิด 2,2 ล้านคนค่ะ ไทม์ไลน์ชีวิตกับสถานการณ์โควิด 2019 เดือนกันยายน จณินบินจากเบอร์ลินไปร้องเพลงที่เฉิงตู ประเทศจีน อยู่ 4 วัน จากนั้นบินไปไทย แวะเยี่ยมครอบครัวและบินกลับเบอร์ลินเดือนตุลาคมเดือนธันวาคม จณินบินจากเบอร์ลินไปพบน้องๆนักเรียนแฟนคลับที่โรงเรียนนานาชาติบาจงชุนไหล ใกล้ๆเฉิงตู เมืองจีน จากนั้นบินไปเซี่ยงไฮ้ และเชียงใหม่ กลับลำปาง ตอนนั้นเพื่อนๆจีนที่เฉิงตู เริ่มสวมหน้ากากกันแล้วเวลาเจอกันที่ร้านกาแฟหรือในห้าง คิดว่าตอนนั้นโควิดเริ่มแล้ว แต่ทางการจีนยังไม่ประกาศว่าเกิดอะไรค่ะ 2020 เดือนมกราคมจณินบินจากกรุงเทพกลับเบอร์ลิน เดือนกุมภาพันธ์บินจากเบอร์ลินไปกรุงโตเกียว ไปดูวงดุริยางค์ซิมโฟนีกองทัพอากาศญี่ปุ่นอัดเพลงประกอบละครเรื่องรักนิรมิต ที่จณินแสดงนำทางช่องทรู เนื้อร้องภาษาอังกฤษจณินแต่งเองและร้องเองค่ะ ตอนนั้นโควิดเริ่มระบาดแล้วในญี่ปุ่น เวลาออกจากโรงแรมไปขึ้นรถไฟใต้ดินหรือไปเดินห้าง จณินสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ไม่เคยถอดเลยค่ะ หน้าประตูโรงแรมและร้านอาหาร เขามีเจลแอลกอฮอล์ให้ใช้ล้างมือ ก็ล้างตลอด ตอนนั่งเครื่องบินกลับจากโตเกียวมากรุงเทพ ก็สวมหน้ากากตลอด ไม่เข้าห้องน้ำบนเครื่องเลย ทนเอาค่ะ เดือนมีนาคม จณินอยู่กรุงเทพ ไปภูเก็ต และกลับลำปาง เหมือนเดิมคือ สวมหน้ากากตลอดเวลาตอนอยู่นอกบ้านหรืออยู่นอกโรงแรม ยกเว้นนั่งเรือหรือนั่งเล่นหน้าหาด ก็ไม่สวม ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ตลอด เข้าลิฟท์จะไม่ใช้มือสัมผัสปุ่ม ใช้ทิชชูค่ะ ปลายมีนา จณินบินจากกรุงเทพกลับเบอร์ลิน ได้เที่ยวบินสุดท้ายก่อนไทยจะล็อกดาวน์ค่ะ โชคดีมากๆที่สายการบินฟินน์แอร์หาที่ว่างให้วินาทีสุดท้าย
สวมหน้ากากอนามัยบนเครื่องบินสิบกว่าชั่วโมงรวด ไม่เข้าห้องน้ำบนเครื่องเลย ทนเอาค่ะ มาถึงเบอร์ลินตั้งแต่ปลายมีนา ที่เยอรมนีช่วงนั้นมีคนติดโควิดน่าจะขึ้นหลักล้านแล้ว แต่คนยังไม่ค่อยยอมสวมหน้ากาก เวลานินออกนอกบ้านไปไหนและสวมหน้ากาก จะถูกมองแปลกๆตลอด บางคนมองเพราะเห็นเป็นเรื่องตลก เหมือนว่าเราเว่อร์ที่สวมหน้ากาก เพราะเขาไม่เชื่อว่าโควิดร้ายแรง บางคนมองเพราะไม่ชอบ ที่เรามีหน้ากากใส่ แต่พวกเขาไม่มี เพราะตอนนั้น หน้ากากขาดแคลนมากในเยอรมนี ไม่มีวางขายในร้านเลย มีเงินก็ซื้อไม่ได้ สั่งในเน็ตก็นานกว่าจะได้รับ แพงด้วย แต่นินเตรียมไปหลายร้อยชิ้นจากเมืองไทย และยังมีอีกพันชิ้น ที่หิ้วมาจากไทยเตรียมแพ็คลงกล่องจะเอาไปส่งให้แฟนคลับน้องๆนักเรียนโรงเรียนนานาชาติบาจงชุนไหลในเมืองจีน (ในรูป) เพราะตอนนั้นรัฐบาลไทยห้ามส่งหน้ากากไปต่างประเทศ แต่ที่เยอรมนีส่งไปจีนยังได้อยู่ แต่พอมาถึงเบอร์ลิน สถานการณ์โควิดแย่ลง รัฐบาลเยอรมันเลยห้ามส่งหน้ากากไปต่างประเทศเหมือนกัน จณินเลยมีหน้ากากเหลือเยอะมาก แจกเพื่อนๆที่เยอรมันแล้ว แจกพี่ๆคนขับแท็กซี่ คนมาส่งอาหาร คนมาส่งพัสดุ ให้คนงานในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้าง คนงานก่อสร้างบ้างแจกตลอดเลยค่ะแต่ก็ยังพอเหลือเลยมีสวมทุกวันค่ะ ตอนนั้นเวลาไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย ไม่มีใครสวมหน้ากากกันเลย มีจณินคนเดียว อายเพื่อนอายอาจารย์เหมือนกันแต่ก็กลัวติดโควิด เลยต้องสวมหน้ากากค่ะ เวลานั่งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถราง ก็สวมตลอด คนอื่นไม่สวมก็ช่างเขาค่ะ นินคล้องขวดแอลกอฮอล์เจลไว้กับกระเป๋าสะพายด้วย ใช้ล้างมือได้ทุกเวลาค่ะ
หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์คับขันขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลเยอรมันประกาศล็อกดาวน์ออกกฏหมายบังคับให้คนต้องสวมหน้ากากในเวลาต้องใช้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะและเวลาเข้าร้าน และร้านค้าก็เริ่มมีหน้ากากขาย คนเยอรมันก็ต้องสวมหน้ากากกัน ในมหาวิทยาลัยเขาถึงจะเริ่มสวมกันค่ะ เวลาจณินไปร้านอาหารระหว่างเดือนมีนาถึงเดือนธันวาปีที่แล้วที่เยอรมนีและโปแลนด์ นินจะเลือกนั่งนอกร้านตลอด เลือกเข้าเฉพาะร้านที่นั่งทานอาหารกลางแจ้งได้ ไม่เคยนั่งในร้านอาหารเลยค่ะ หรือหากจะนั่งในร้าน ก็จะเลือกเฉพาะร้านที่ทั้งร้านมีโต๊ะนินโต๊ะเดียวเท่านั้น ไม่มีแขกคนอื่นในร้าน นอกนั้นก็ทานข้าวที่บ้านอย่างเดียวค่ะ ที่เบอร์ลิน คนติดโควิดกันเยอะ เพราะติดกันในโบสถ์ ในมัสยิด ในบาร์ในคลับ และจากการชุมนุมประท้วงที่ไม่มีใครสวมหน้ากาก ก่อนรัฐบาลจะประกาศปิดสถานที่พวกนี้ แต่ถึงปิดเพราะล็อกดาวน์แล้ว ก็ยังมีคนลักลอบจัดปาร์ตี้กันอยู่ ช่วงโควิดปีที่แล้ว เคยมีเพื่อนๆชวนไปงาน Rave Party หรือ Techno Party ที่เป็นปาร์ตี้ฮิปฮ็อปกับปาร์ตี้เพลงเทคโน แต่จณินไม่ไป กลัวตำรวจจับค่า 555 ตำรวจมาจับจริงๆ เพราะคนแถวที่จัดงาน เขาชอบโทรไปแจ้งตำรวจ ตำรวจตามไปจับทุกงานค่ะ บางงานโดนจับไปสองร้อยกว่าคน ไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ขนาดแรปเปอร์เยอรมันชื่อดังแอบถ่ายทำเอ็มวีช่วงล็อกดาวน์ ตำรวจก็ตามไปจับ ถูกปรับเป็นหลักล้านเลย นินไม่กล้าเสี่ยงเลยค่ะ ไม่อยากเป็นข่าวด้วย เลยตัดปัญหา ไม่ไปปาร์ตี้ใดๆค่ะ ช่วงปลายหน้าร้อนเดือนกรกฎา มีคลับที่เบอร์ลินขอให้ไปร้องคอนเสิร์ต ตอนแรกไม่อยากไป แต่รุ่นพี่ที่รู้จักกันขอให้ช่วยงาน ก็เลยไปร้องให้ ตำรวจอนุญาตให้คนดูเข้าได้แค่ 50 คนเท่านั้น ทุกคนต้องสวมหน้ากาก ดีเจก็สวมด้วย นินก็ไปร้อง ทั้งที่เวลาคุยกับดีเจก็ยังสวมหน้ากาก กลัวมากๆเพราะไม่รู้ว่าไมค์ใช้กันมากี่รายแล้ว ต้องเอาแอลกอฮอล์พ่นไมค์เลยค่ะ 555 ขนาดทุกคนที่ดูสวมหน้ากาก นักร้องยังเครียดอ่ะ หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลสั่งปิดคลับบาร์ เลยตัดปัญหาไปค่ะ ไม่มีคอนเสิร์ตแล้วค่ะเวลาออกบ้าน ก็แค่ไปเรียนหนังสือ วันละห้าชั่วโมงรวด ก็สวมหน้ากากตลอดไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็สวมหน้ากาก ร้านอื่นๆปิดหมด ก็ไม่ต้องไป เวลานัดเจอเพื่อน ก็แค่ครั้งละคน ตามที่กฏหมายเยอรมันกำหนดไม่ให้เจอคนนอกครอบครัวเกินครั้งละ 1 คน พยายามไม่ละเมิดกฏหมายค่ะ นัดเจอเพื่อนช่วงล็อกดาวน์คือไปซื้อชานมไข่มุกกันแบบสั่งกลับบ้านหรือไปนั่งเล่นบ้านเพื่อน เอามาม่าจากบ้านจณินไปต้มแบ่งกันค่ะ สถานการณ์ตอนนี้ที่นั่น แย่กว่าเมืองไทย ที่มหาวิทยาลัยเพื่อนจณินในเบอร์ลิน นักศึกษาติดโควิด 40 คน ถึงประเทศจะล็อกดาวน์ แต่มหาวิทยาลัยไม่ปิด ทุกคนต้องไปเรียนตามปกติ คนไหนติดก็อยู่บ้าน คนไม่ติดก็ต้องไปเรียน ยืดหยุ่นให้เรียนออนไลน์ได้เฉพาะคนที่ติดอยู่ต่างประเทศกลับเยอรมนีไม่ได้และในบางวิชาบางชั่วโมงเท่านั้น บ้านพักคนชราบางที่ติดเป็นร้อย แต่ทุกคนก็อยู่กันไป พยายามใช้ชีวิตตามปกติเท่าที่ทำได้
พ่อเพื่อนจณินติดโควิด เพิ่อนเล่าว่า คนไหนติดโควิด ถ้าไม่อาการหนักมากๆแบบหายใจเองไม่ได้แล้ว โรงพยาบาลจะไม่รับรักษาเลยค่ะ คลีนิกก็ไม่รับ เขาจะรับสายเราเท่านั้น เราก็บอกอาการทางโทรศัพท์ไป เขาก็จะบอกให้เราทำไรบ้างทางโทรศัพท์ เขาจะให้กินแค่ยาไอบูเฟนลดไข้และให้อยู่กับบ้าน ถึงแม้จะมีประกันสุขภาพกันทุกคน เขาก็ไม่รับรักษาค่ะ รัฐบาลไม่มีสถานกักตัวของรัฐให้ฟรีเหมือนที่ไทยบ้านเราด้วย คนไหนอยากตรวจโควิด ต้องจ่ายเงินตรวจเอง ประมาณสองร้อยยูโรอย่างต่ำ คิดเป็นเงินไทยเจ็ดพันกว่า หากไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงจริงๆคือกลุ่มคนกลับจากต่างประเทศและพวกหมอพยาบาลเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกับสถานรับคนชราเท่านั้น กลุ่มนี้ตรวจฟรี ประกันจ่ายให้ค่ะ แต่คนธรรมดาอย่างเราไม่ฟรี ไม่เหมือนเมืองไทยที่มีรถเคลื่อนที่ตรวจให้ฟรี ปีนี้บริษัทประกันสุขภาพก็จะขึ้นค่าเบี้ยประกันด้วย เพราะโควิดนี่ละค่ะ ตั้งแต่โควิดปีที่แล้วเดือนกุมภาจนถึงตุลา โรงพยาบาลในเยอรมนีแทบไม่รับคนไข้ในแล้วเลื่อนนัดผ่าตัดคนไข้เกือบหมด ใครไม่สบายก็ต้องทนค่ะ คนไข้ที่เจ็บมากๆ แต่หมอยังงดผ่า หมอก็จะให้มอร์ฟีนมาฉีดเองที่บ้าน รอคิวผ่าหกเดือนเลยค่ะ ตอนแรกปีที่แล้วที่หมองดผ่าตัด ก็เพราะไม่มีหน้ากาก ไม่มีชุด PPE พอให้บุคลากรในโรงพยาบาลใช้ ถึงขนาดอาจารย์หมอออกมาขอรับบริจาคหน้ากากและเจ้าหน้าที่ต้องเย็บหน้ากากเอง ปีนี้มีหน้ากากมีชุด PPE แล้ว แต่หลายที่ก็ยังไม่รับผ่าคนไข้ เพราะต้องเก็บเตียงให้คนไข้โควิด โรงพยาบาลในเบอร์ลินที่นึงตอนนี้ก็ปิดเพราะต้องกักตัวบุคลากร 2,000 คน เพราะมีคนติดโควิดสายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ ปีที่แล้วโรงพยาบาลบางแห่งในเบอร์ลินก็ถูกงัด มีโจรมาขโมยหน้ากากไป คลังพัสดุตำรวจในเบอร์ลินก็ถูกงัด โจรขโมยแอลกอฮอล์ล้างมือตำรวจไปหลายร้อยลิตร มันปั่นป่วนไปหมด หน้ากากก็เพิ่งจะมีขายทั่วไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง แพงด้วยค่ะ ย่านดาวน์ทาวน์เบอร์ลินตอนนี้ มีรถตำรวจจอดอยู่เป็นจุด มีตำรวจเดินตรวจตามถนน ว่าใครไม่สวมหน้ากากบ้าง ตอนแรกจะเตือนก่อนให้หยิบขึ้นมาสวม ถ้าเตือนดีๆแล้วไม่ฟัง ก็จะเอาขึ้นรถไปโรงพัก ที่ต้องทำแบบนี้ เพราะมีคนดื้อเยอะ ที่ไม่ชอบสวมหน้ากาก พอพนักงานร้านบอกให้สวม ไม่งั้นไม่ให้เข้าร้าน บางคนก็อาละวาดทำร้ายพนักงาน เลยต้องมีตำรวจคอยคุมค่ะ จณินอยากบอกว่า เราเกิดเป็นคนไทย โชคดีมากๆแล้ว ที่ประเทศเรามีระบบบริการสาธารณสุขที่เข้มแข็งกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรป มีคนไทยเยอะด้วยที่เข้าใจและให้ความร่วมมือในการป้องกันตัวเองและคนอื่น ทุกภาคส่วนช่วยกันร่วมใจกัน ภูมิใจและดีใจที่เป็นคนไทยค่ะ จณินคิดว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างระวัง อยู่เบอร์ลินจณินสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ พอกลับเข้าบ้านคือต้องล้างมือก่อน เสร็จแล้วเอาของวางไกลตัว จากนั้นต้องอาบน้ำสระผมทันที เสื้อผ้าที่ใส่ไปข้างนอกแยกลงตะกร้าเอาไว้ให้ไกลตัวที่สุด เชื้อโควิดติดผมติดเสื้อผ้าได้ รองเท้าไม่เอาเข้าบ้าน มือถือก็ใช้ผ้าแอลกอฮอล์เช็ด ไม่ทานของดิบแล้ว ซาชิมินี่เลิกไปเลยค่ะ เพราะเชื้อโควิดอาจติดมากับอาหารดิบได้ อย่าจับอะไรไปเรื่อย ไม่พาตัวเองไปอยู่สถานที่เสี่ยง ปฎิบัติตามกฎหมาย แล้วถ้าถึงขนาดนั้นแล้วยังโชคร้ายติดก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วค่ะ ขอให้ทุกๆคนปลอดภัยนะคะ รักและเป็นห่วงทุกคนค่ะ
ข้อมูลจาก Facebook Page: Alissa Janine Wollmann.
No comments:
Post a Comment